ค่ายบำบัดยาเสพติดครั้งที่ 1/2562
ระยะเวลาในการเข้าร่วมโครงการ 15 วัน
รับผู้เข้ารับบำบัดทั้งหมดจำนวนประมาณ 5-10 คน
เริ่มหากมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการตามจำนวนที่กำหนด
ค่ายบำบัดเพื่อเลิกยาเสพติด
โครงการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีผู้สอบถามกันเข้ามาเป็นจำนวนมากว่า
หากต้องการมาบำบัดที่มูลนิธิฯสามารถทำได้หรือไม่ ควรทำอย่างไร
เพราะต้องการให้มีคนดูแลผู้ที่ติดในระหว่างการเลิก
มูลนิธิฯจึงได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยผู้ที่สูบบุหรี่
สารเสพติด ให้สามารถเลิกได้อย่างได้ผลจริง และยังเป็นการมาผ่อนคลายด้วยในตัว
มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติด
มีตัวบำบัดที่นำไว้ใช้บำบัดผู้ที่ติดบุหรี่ สุรา และยาเสพติดอย่างได้ผลจริง
ผ่านการทดลองและวิจัยแล้ว โดยเมื่อตัวบำบัดได้ผลดี
จึงได้นำมาใช้เป็นตัวบำบัดสำหรับผู้ติดมาโดยตลอด
ตัวบำบัดที่ทางมูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติดใช้นั้นเรียกว่า “ชาบัวหิมะ”
โดยมีลักษณะเป็นชาชงดื่มเพื่อขับล้างสารพิษ
สารเสพติดในร่างกายของผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสพยาเสพติดทุกชนิด
ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ คือ เหมือนกับคนที่ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า
หรือเสพยาเสพติดนั่นเอง ทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้
ไม่มีความอยากความต้องการสารเสพติดเหมือนเช่นเดิม
“ชาบัวหิมะ”
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทางมูลนิธิฯนำมาใช้ในการบำบัด เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆเป็นส่วนให้ความรู้แก่ประชาชน
และผู้ที่ติดบุหรี่, สุรา, ยาเสพติดมากมาย
แต่กลับมีหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ติดแล้วอยากเลิก เป็นจำนวนน้อย
ซึ่งไม่เพียงพอและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ มูลนิธิฯจึงต้องการช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้
โดยมีเป้าหมายคือช่วยให้เขาเหล่านั้นสามารถเดินออกจากสิ่งเสพติดได้อย่างแท้จริง
และไม่หวนกลับไปอีก โดยชาบัวหิมะได้มีการวิเคราะห์ และผ่านการวิจัยแล้วว่า
สามารถเลิกได้อย่างเห็นผลแท้จริง
จากการค้นคว้าวิจัยของมูลนิธิฯ พบว่าผู้ที่ติด สามารถเลิกได้อย่างเห็นผล.
จากการทดลองวิจัยมูลนิธิฯจึงมีความเห็นว่าชาบัวหิมะเป็นวิธีที่ดีและได้ผลที่สุดในการบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติด
มูลนิธิฯจึงได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในการบำบัดผู้ที่ติดบุหรี่, สุรา และยาเสพติดมาโดยตลอด
ชาบัวหิมะมีลักษณะเป็นชาธรรมชาติ
ใช้ชงกับน้ำร้อน ดื่มเพื่อขับล้างสารพิษ ถอนยาเสพติดออกจากร่างกาย
และป้องกันมิให้สารเสพติดกลับเข้าสู่ร่างกายได้อีกโดยง่าย
ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุคืออาการติดสารเสพติด
โดยจะมีการบำบัดควบคู่ไปกับการให้คำแนะนำปรึกษา รวมถึงมีการแก้ไขทางความคิด
ความเข้าใจที่ผิดๆเกี่ยวกับบุหรี่, สุรา หรือยาเสพติด
และยังต้องเข้าใจถึงสภาพจิตใจของบุคคลในครอบครัวของผู้ที่ติดสารเสพติดนั้นๆด้วย
มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติดจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ที่ติดบุหรี่
สุรา และยาเสพติด สามารถเลิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยช่วยสังคมให้พัฒนาในด้านคุณภาพประชากรและสภาพทางสังคมให้ดียิ่งขึ้น
เพราะสารเสพติดเป็นตัวสำคัญในการก่อให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายในสังคม
โดยมีแนวคิดที่ว่าการเสพติดคล้ายกับโรคชนิดหนึ่งและหากมีวิธีช่วยเหลือที่เหมาะสมเขาเหล่านั้นก็สมควรได้รับโอกาสในการรักษา
แต่ทว่าการนำผู้ที่ติดสารเสพติดมาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากโดยอยู่อย่างแออัดอาจทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง
ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นได้หลายประการ
ดังนั้นโครงการของทางมูลนิธิฯจึงพยายามหาทางที่จะช่วยเหลือผู้ที่ติด
โดยต้องทำในรูปแบบที่จะเกิดปัญหาน้อยที่สุดนั่นคือต้องสามารถดูแลผู้ที่ติดได้อย่างทั่วถึง, ไม่อยู่กันอย่างแออัด,
การบำบัดรักษาเป็นไปด้วยความเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริง โดยปัญหานั้นอาจเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล
โครงการบำบัดแบบพิเศษนี้จึงได้เกิดขึ้น
การบำบัดเป็นเช่นไร
การเข้ารับการบำบัดไม่ว่าจะเป็นบุหรี่
สุรา หรือยาเสพติดกับทางมูลนิธิฯต้องเป็นแบบสมัครใจเท่านั้น
และมีความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะต้องได้พูดคุยกับผู้ที่เสพติดก่อนเพื่อทราบข้อมูลเบื้องต้น
และวิเคราะห์อาการ โดยการบำบัดนั้นจะทำโดยให้ผู้ที่ติดดื่มตัวบำบัดคือชาบัวหิมะเพื่อขับล้างสารพิษเป็นหลัก
โดยมีการวิเคราะห์สภาพจิตและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย
เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ติดคืออาการติดสารเสพติด
โดยหากติดสารเสพติดแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำสารเสพติดออกจากร่างกายเป็นอันดับแรกเพื่อทำให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติ
และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติได้อีกครั้ง
ผู้ที่ติดนั้นโดยปกติแล้วจะไม่สามารถควบคุมตนเองให้ออกจากสารเสพติดได้
โดยถูกสารเสพติดควบคุมพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันไม่เป็นตัวของตัวเอง
สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญทางมูลนิธิให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
โดยการดื่มชาบัวหิมะเพื่อบำบัดนั้นจะทำการช่วยขับล้างสารพิษสารเสพติดในร่างกายออกมา
ทำให้ผู้ที่ติดสามารถควบคุมตนเองได้และกลับมาเป็นคนเดิมที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารเสพติดเหล่านั้นอีกต่อไป
และการบำบัดของทางมูลนิธิฯนั้นจะไม่มีการใช้ยาเคมีใดๆทั้งสิ้น เป็นการบำบัดแบบธรรมชาติบำบัดอย่างแท้จริง
นั่นคือความแตกต่างระหว่างเรามูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติดกับสถานบำบัดอื่น
ผู้ที่เข้ารับการบำบัดต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. ผู้ที่จะเข้ารับการบำบัดต้องสมัครใจในการเข้ารับการบำบัด
2. คนไทยหรือชาวต่างชาติ
ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงหรือไม่มีโรคแทรกซ้อนร้ายแรง
โดยจำเป็นต้องแจ้งปัญหาสุขภาพให้แก่เจ้าหน้าที่ทราบและเข้าใจอย่างชัดเจน
3. เป็นบุคคลที่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า
15 วัน
4.ผู้เข้ารับการบำบัดต้องมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนเพียงพอที่จะสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆของเจ้าหน้าที่
โดยสามารถพูดคุยและสื่อสารได้อย่างปกติ
5. มูลนิธิฯอาจมีการพูดคุย
สัมภาษณ์ผู้ที่ต้องการเข้ารับการบำบัดก่อนเริ่มบำบัด
6. ผู้เข้ารับการบำบัดต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
วิธีดำเนินการ
1.
ผู้ที่เข้ารับการบำบัดจะมีห้องพักส่วนตัวแยกต่างหากจากกัน มิใช่ห้องพักรวม
โดยบังคับต้องมีผู้ติดตามผู้เข้ารับการบำบัดอย่างน้อย 1 ท่าน โดยต้องอยู่กับผู้ที่ติดอย่างน้อยที่สุดคือ
4 วัน
2.
ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 15 วัน
3.
นำตัวบำบัดไปใช้ในการบำบัดเพื่อผลสัมฤทธิ์
จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาทำให้ทางมูลนิธิฯทราบดีว่าการเลิกสารเสพติดนั้นเป็นเรื่องที่ยาก
ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่บอกให้ทราบแต่เพียงโทษภัย, การใช้จิตบำบัด, การใช้ยาเคมีเข้าช่วย
หรือการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ต้องมีวิธีการที่จะทำให้เลิกสารเสพติดอย่างได้ผลด้วย
ทางมูลนิธิฯใช้ชาบัวหิมะซึ่งเป็นธรรมชาติบำบัด
ไม่ใช้ยาเคมีที่จะกดประสาทและทำให้เซื่องซึม
โดยจะมีการควบคุมจากเจ้าหน้าที่ของทางมูลนิธิฯอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้เสพติดมีวินัยในการดื่มตัวบำบัด
และผู้ติดต้องทำตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่ของทางมูลนิธิฯแนะนำอย่างเคร่งครัดเพื่อการเลิกได้อย่างเห็นผล
4.
มีอาหารและกิจกรรมต่างๆสำหรับผู้เข้ารับการบำบัด
โดยจะเป็นกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เข้ารับการบำบัดในด้านการฟื้นฟูสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ซึ่งกิจกรรมจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ติดสารเสพติดเป็นหลัก
5.
ในระหว่างการเข้ารับการบำบัดจะมีการบันทึกติดตามอาการของผู้เข้ารับการบำบัดในระหว่างบำบัดทุกวัน
เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่มูลนิธิฯทราบและตรวจสอบการบำบัด
สิ่งที่ต้องเตรียม
1.
เสื้อผ้า และของใช้ส่วนบุคคล โดยสามารถนำมามากเท่าที่ต้องการได้ โดยทางค่ายจะมีการซักให้แต่ผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง
2.
สามารถนำงานมาทำไปด้วยได้ ในกรณีที่มีงานที่ต้องทำในระหว่างบำบัด
ทางมูลนิธิฯไม่ได้บังคับในการตัดขาดจากโลกภายนอก
3.
สามารถนำอุปกรณ์สื่อสารมาใช้ได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์
4.
ชุดกีฬา โดยจะมีการออกกำลังกายเกือบทุกวัน
5.
เสื่อโยคะ (ถ้ามี)
6.
ขนมและของกินส่วนตัว
ผู้ปกครองสามารถมาเยี่ยมหรือมาอยู่พักอาศัยกับบุตรหลานของท่านในระหว่างบำบัดได้
ติดต่อมูลนิธิฯเพื่อสอบถาม และ เข้าร่วมโครงการได้ที่ โทร 081-9211479 และ 063-4649293 หรือทางไลน์ @saf.or.th (มี @ นำหน้า) https://line.me/R/ti/p/%40dcr5114u
ทุกการเลิกเป็นไปได้

มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติด Action on Smoking Health and Addictive Foundation ได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน ทำให้มูลนิธิฯได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลากว่าสิบปี จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เราได้ทำการวิเคราะห์วิจัยผู้ที่เข้ารับการบำบัด ทำให้เราเข้าใจถึงลักษณะและพฤติกรรมของผู้ที่ติดบุหรี่ ติดสุรา และเสพยาเสพติดเป็นอย่างดี มูลนิธิฯจึงได้ค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการบำบัดผู้ที่ติดบุหรี่ สุรา และยาเสพติดให้ได้อย่างได้ผลที่สุดเรื่อยมา
ปัจจุบันมีสถานบำบัดผู้ที่ติดยาเสพติดเกิดขึ้นมากมายแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการเลิก อันแสดงให้เห็นว่ายาเสพติดถือเป็นปัญหาของทุกสังคม ในลำดับต้นๆที่รัฐบาลควรหันกลับมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง เพราะยาเสพติดนั้นเป็นต้นกำเนิดของปัญหาสังคมเกือบทุกประเภท เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาด้านจิตใจของเด็กและเยาวชน ปัญหาการตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม และที่สำคัญที่สุดคือปัญหาเรื่องคุณภาพประชากร เพราะประเทศไม่อาจพัฒนาได้หากประชากรไม่มีประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สังคมโลกกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายาเสพติดเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและสมควรได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีก่อนที่จะไม่สามารถแก้ไขได้ทัน
สถานบำบัดแต่ละแห่งนั้นจะใช้วิธีในการบำบัดแตกต่างกันไป มีหน่วยงานมากมายให้ความรู้แก่ผู้เสพถึงโทษภัย แต่หน่วยงานที่คอยช่วยเพื่อให้เลิกยาเสพติดนั้นกลับน้อย ไม่เพียงพอ และไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการบำบัด มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติดมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยสังคมเพื่อบำบัดผู้ที่ติดบุหรี่,เหล้า และยาเสพติด ให้ได้อย่างประสบความสำเร็จที่สุด โดยจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของทางมูลนิธิฯพบว่า การบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติดนั้นหากใช้แค่จิตใจที่อยากเลิกเพียงอย่างเดียวนั้นก็อาจจะทำได้ แต่ทำได้ค่อนข้างยากและอาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องมีตัวช่วยที่จะทำให้ผู้ที่ติดและเสพสามารถกลับมาควบคุมสภาพจิตใจ สมอง และอารมณ์ตัวเองให้ได้ด้วย
ยาเสพติดมิใช่เป็นเพียงสารพิษที่จะทำลายร่างกายของผู้เสพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสารเสพติดที่ทำลายและเข้าควบคุมการทำงานของร่างกายและสมองของผู้เสพอย่างสมบูรณ์ด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เสพไม่สามารถที่จะเลิกด้วยตนเองได้โดยง่ายอย่างที่ใจคิด เพราะนอกจากต้องควบคุมปัจจัยภายนอก หรือก็คือสภาพแวดล้อม เช่น กลุ่มเพื่อน สถานที่ อารมณ์ และสภาพจิตใจแล้ว ก็ยังต้องควบคุมปัจจัยภายในคือ สภาพร่างกาย และสมอง ที่มีอาการติดสารเสพติด ซึ่งส่วนนี้ทำได้ยากมากสำหรับผู้ที่ติดสารเสพติด เพราะสารเสพติดควบคุมปัจจัยภายในของผู้เสพทุกอย่าง เช่น ระบบความคิด, การใช้เหตุผล, อารมณ์ รวมไปถึงความต้องการใช้ยาด้วย
ผู้ที่เสพสารเสพติดส่วนใหญ่จะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมในการเสพได้ เนื่องจากมีการหลั่งสารอย่างผิดปกติเกิดขึ้นสมองเมื่อมีการเสพยา(แม้กระทั่งการสูบบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ก็ประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน) เช่น สารโดพามีน (Dopamine) ซึ่งจะควบคุมสมองส่วนอยาก ทำให้ผู้เสพรู้สึกเป็นสุขอย่างท่วมท้น สนุกสนาน คึกคัก โดยหลั่งออกมาอย่างผิดปกติเกินกว่าภาวะปกติของคนทั่วไป ซึ่งภาวะเช่นนี้จะเป็นการกระตุ้นสมองและร่างกายของผู้เสพให้ใช้พลังมากเกินไปโดยเมื่อหมดฤทธิ์ยาจะพบว่าผู้เสพจะมีความเหนื่อยล้า ซึมเศร้า หมดแรง โดยหากต้องการจะพบกับภาวะความสุข สนุกสนาน มีเรียวแรงแบบนั้นอีกผู้เสพก็ต้องเสพสารเสพติดเข้าไปกระตุ้นอีก และเมื่อเสพอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆปริมาณการเสพที่เคยเสพจะเริ่มไม่เพียงพอ จึงต้องมีการใช้สารเสพติดในปริมาณที่มากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะรู้สึกว่าเพียงพอกับความต้องการ และในขณะเดียวกันสารเสพติดก็ยังได้ส่งผลต่อสมองอีกส่วนหนึ่งคือส่วน Cerebral cortex ซึ่งทำหน้าที่ในการจำ การตัดสินใจ การใช้ความคิดเป็นเหตุเป็นผล โดยสมองส่วนนี้ก็จะค่อยๆถูกทำลายลง และถูกควบคุมโดยสมองส่วนอยาก ทำให้ความสามารถในการคิด ความจำ เริ่มแย่ลง ความมีเหตุผล สามัญสำนึก การแยกแยะถูกผิด ก็จะไม่สามารถทำได้ดังเช่นคนปกติ จึงสามารถสังเกตได้ว่าผู้ที่เสพสารเสพติด มักมีความคิด พฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก เช่น เกรี้ยวกราด, ก้าวร้าว, หงุดหงิดง่าย โดยผู้เสพก็ยังคงเสพอย่างต่อเนื่องเพราะไม่สามารถควบคุมตนเองให้หยุดใช้สารเสพติดได้ และเมื่อเสพอย่างต่อเนื่องและมากพอก็จะทำให้เกิดอาการทางจิต, นอนไม่หลับ หูแว่ว, เห็นภาพหลอน และเป็นคนไข้จิตเภทในที่สุด
ในการเลิกสารเสพติด ผู้เข้ารับการบำบัดจำเป็นต้องจัดการกับตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดความอยากความต้องการยาเสพติดให้ได้ เพื่อจะทำให้เลิกสารเสพติดต่างๆได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยสมองนั้นมีโอกาสที่จะฟื้นฟูได้หลังจากการเลิกเสพสารเสพติด
หากสมองของผู้เสพยังไม่ถูกทำลายอย่างถาวร การพยายามเลิกยาเสพติดจะทำให้มีอาการขาดยา และอยากยา หรืออาการลงแดงนั่นเอง เช่น หงุดหงิด ปวดท้อง ปวดหัว นอนไม่หลับ ควบคุมตนเองไม่ได้ จึงทำร่างกายของผู้เสพทนไม่ไหวและต้องหวนกลับไปใช้ยาเสพติดอีก สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่เสพติดสารเสพติดทุกประเภทรวมถึงบุหรี่ เหล้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลัง ยาบ้า ยาไอซ์ ฯลฯ จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตน และทำไมการเลิกสารเสพติดจึงมีความยากอย่างมาก อีกทั้งคนรอบข้างและบุคคลในครอบครัวของผู้ที่เสพก็ควรทราบและทำความเข้าใจ เพื่อที่จะเข้าใจถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เสพ และร่วมกันหาทางแก้ไขให้ได้อย่างถูกต้อง
“ชาบัวหิมะ” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทางมูลนิธิฯนำมาใช้ในการบำบัด เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆเป็นส่วนให้ความรู้แก่ประชาชน และผู้ที่ติดบุหรี่, สุรา, ยาเสพติดมากมาย แต่กลับมีหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ติดแล้วอยากเลิกเป็นจำนวนน้อย ไม่เพียงพอและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ มูลนิธิฯจึงต้องการช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายคือช่วยให้เขาเหล่านั้นสามารถเลิกจากสิ่งเสพติดได้อย่างแท้จริง และไม่หวนกลับไปอีก โดยชาบัวหิมะได้ผ่านการวิเคราะห์ ทดลอง และวิจัยแล้วจากผู้ติดจริง ว่าสามารถช่วยให้เลิกได้อย่างเห็นผลแท้จริง โดยจากการค้นคว้าวิจัยของมูลนิธิฯ พบว่า 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ติด สามารถเลิกได้อย่างเห็นผล ดังนั้นมูลนิธิฯจึงมีความเห็นว่าชาบัวหิมะเป็นวิธีที่ดีและได้ผลที่สุดในการบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติด ซึ่งเมื่อตัวบำบัดนั้นสามารถใช้ได้ผลดี มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติด จึงได้นำตัวบำบัดนั้นมาใช้บำบัดผู้ที่ติดบุหรี่ สุรา และยาเสพติดมาโดยตลอด
“ชาบัวหิมะ” มีลักษณะเป็นชาธรรมชาติ ใช้ชงกับน้ำร้อนเพื่อดื่ม โดยจะทำการขับล้างสารพิษ ถอนสารเสพติดในร่างกายของผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสพยาเสพติดออกมาเพื่อทำให้ร่างกายของผู้เสพกลับคืนสู่สภาวะปกติ คือเหมือนกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเสพยาเสพติด ทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีความอยากความต้องการสารเสพติดเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา อีกทั้งยังทำให้สารเสพติดทั้งหลายไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่ายอีกด้วย โดยร่างกายจะมีอาการต่อต้านสารเสพติดทำให้ไม่สามารถเสพได้เหมือนเดิมดังที่เคยเสพมา ซึ่งถือเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุคืออาการติดสารเสพติด โดยจะมีการบำบัดควบคู่ไปกับการให้คำแนะนำปรึกษา รวมถึงมีการแก้ไขทางความคิด ความเข้าใจที่ผิดๆเกี่ยวกับบุหรี่, สุรา หรือยาเสพติด ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจถึงสภาพจิตใจของผู้เสพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในครอบครัวของผู้ที่เสพสารเสพติดต่างๆด้วย
สาเหตุที่แท้จริงของปัญหายาเสพติดนั้น ส่วนใหญ่เกิดหรือเริ่มต้นจากที่บ้าน เช่น ปัญหาทางครอบครัว, พ่อแม่ลูกไม่ค่อยได้พูดคุยกัน, สามีภรรยาไม่เข้าใจกัน เป็นต้น ซึ่งหากครอบครัวได้ดูแลทำความเข้าใจกัน ให้ความรักความเอาใจใส่กันในครอบครัวได้เป็นผลสำเร็จนั้น จะเป็นผลที่ดีต่อทั้งผู้สูบ/เสพและคนในครอบครัวของผู้เสพ โดยการดำเนินชีวิตของผู้เสพหลังการบำบัดนั้นเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ดังนั้นการปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันในครอบครัวหรือบุคคลรอบข้างจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง