
เลิกยาก แต่เลิกได้
“ชาบัวหิมะ” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทางมูลนิธิฯนำมาใช้ในการบำบัด เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆเป็นส่วนให้ความรู้แก่ประชาชน และผู้ที่ติดบุหรี่, สุรา, ยาเสพติดมากมาย แต่กลับมีหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ติดแล้วอยากเลิกเป็นจำนวนน้อย ไม่เพียงพอและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ มูลนิธิฯจึงต้องการช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายคือช่วยให้เขาเหล่านั้นสามารถเลิกจากสิ่งเสพติดได้อย่างแท้จริง และไม่หวนกลับไปอีก โดยชาบัวหิมะได้ผ่านการวิเคราะห์ ทดลอง และวิจัยแล้วจากผู้ติดจริง ว่าสามารถช่วยให้เลิกได้อย่างเห็นผลแท้จริง โดยจากการค้นคว้าวิจัยของมูลนิธิฯ พบว่าผู้ที่ติดสามารถเลิกได้อย่างเห็นผล ดังนั้นมูลนิธิฯจึงมีความเห็นว่าชาบัวหิมะเป็นวิธีที่ดีและได้ผลที่สุดในการบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติด ซึ่งเมื่อตัวบำบัดนั้นสามารถใช้ได้ผลดี มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติดจึงได้นำตัวบำบัดนั้นมาใช้บำบัดผู้ที่ติดบุหรี่ สุรา และยาเสพติดมาโดยตลอด
“ชาบัวหิมะ” มีลักษณะเป็นเป็นชาธรรมชาติ ใช้ชงกับน้ำร้อนเพื่อดื่ม โดยจะทำการขับล้างสารพิษ ถอนสารเสพติดในร่างกายของผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสพยาเสพติดออกมาเพื่อทำให้ร่างกายของผู้เสพกลับคืนสู่สภาวะปกติคือเหมือนกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเสพยาเสพติด ทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีความอยากความต้องการสารเสพติดเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา อีกทั้งยังทำให้สารเสพติดทั้งหลายไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่ายอีกด้วย โดยร่างกายจะมีอาการต่อต้านสารเสพติดทำให้ไม่สามารถเสพได้เหมือนเดิมดังที่เคยเสพมา ซึ่งถือเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุคืออาการติดสารเสพติด โดยจะมีการบำบัดควบคู่ไปกับการให้คำแนะนำปรึกษา รวมถึงมีการแก้ไขทางความคิด ความเข้าใจที่ผิดๆเกี่ยวกับบุหรี่, สุรา หรือยาเสพติด ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจถึงสภาพจิตใจของผู้เสพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในครอบครัวของผู้ที่เสพสารเสพติดต่างๆด้วย
ชา 1 ชุดจะมี 6 กล่องเล็ก ให้ชงดื่มวันละ 2 กล่องเล็ก ทั้งนี้ต้องดื่มติดต่อกันตามระยะเวลาบำบัดที่แตกต่างกันไปตามประเภทของสารเสพติด และห้ามขาดตอนโดยเด็ดขาด
ทุกการเลิกเป็นไปได้

มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติด Action on Smoking Health and Addictive Foundation ได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน ทำให้มูลนิธิฯได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลากว่าสิบปี จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เราได้ทำการวิเคราะห์วิจัยผู้ที่เข้ารับการบำบัด ทำให้เราเข้าใจถึงลักษณะและพฤติกรรมของผู้ที่ติดบุหรี่ ติดสุรา และเสพยาเสพติดเป็นอย่างดี มูลนิธิฯจึงได้ค้นคว้าวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการบำบัดผู้ที่ติดบุหรี่ สุรา และยาเสพติดให้ได้อย่างได้ผลที่สุดเรื่อยมา
ปัจจุบันมีสถานบำบัดผู้ที่ติดยาเสพติดเกิดขึ้นมากมายแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการเลิก อันแสดงให้เห็นว่ายาเสพติดถือเป็นปัญหาของทุกสังคม ในลำดับต้นๆที่รัฐบาลควรหันกลับมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง เพราะยาเสพติดนั้นเป็นต้นกำเนิดของปัญหาสังคมเกือบทุกประเภท เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาด้านจิตใจของเด็กและเยาวชน ปัญหาการตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม และที่สำคัญที่สุดคือปัญหาเรื่องคุณภาพประชากร เพราะประเทศไม่อาจพัฒนาได้หากประชากรไม่มีประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สังคมโลกกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายาเสพติดเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและสมควรได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและทันท่วงทีก่อนที่จะไม่สามารถแก้ไขได้ทัน
สถานบำบัดแต่ละแห่งนั้นจะใช้วิธีในการบำบัดแตกต่างกันไป มีหน่วยงานมากมายให้ความรู้แก่ผู้เสพถึงโทษภัย แต่หน่วยงานที่คอยช่วยเพื่อให้เลิกยาเสพติดนั้นกลับน้อย ไม่เพียงพอ และไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการบำบัด มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติดมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยสังคมเพื่อบำบัดผู้ที่ติดบุหรี่,เหล้า และยาเสพติด ให้ได้อย่างประสบความสำเร็จที่สุด โดยจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของทางมูลนิธิฯพบว่า การบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติดนั้นหากใช้แค่จิตใจที่อยากเลิกเพียงอย่างเดียวนั้นก็อาจจะทำได้ แต่ทำได้ค่อนข้างยากและอาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องมีตัวช่วยที่จะทำให้ผู้ที่ติดและเสพสามารถกลับมาควบคุมสภาพจิตใจ สมอง และอารมณ์ตัวเองให้ได้ด้วย
ยาเสพติดมิใช่เป็นเพียงสารพิษที่จะทำลายร่างกายของผู้เสพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสารเสพติดที่ทำลายและเข้าควบคุมการทำงานของร่างกายและสมองของผู้เสพอย่างสมบูรณ์ด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เสพไม่สามารถที่จะเลิกด้วยตนเองได้โดยง่ายอย่างที่ใจคิด เพราะนอกจากต้องควบคุมปัจจัยภายนอก หรือก็คือสภาพแวดล้อม เช่น กลุ่มเพื่อน สถานที่ อารมณ์ และสภาพจิตใจแล้ว ก็ยังต้องควบคุมปัจจัยภายในคือ สภาพร่างกาย และสมอง ที่มีอาการติดสารเสพติด ซึ่งส่วนนี้ทำได้ยากมากสำหรับผู้ที่ติดสารเสพติด เพราะสารเสพติดควบคุมปัจจัยภายในของผู้เสพทุกอย่าง เช่น ระบบความคิด, การใช้เหตุผล, อารมณ์ รวมไปถึงความต้องการใช้ยาด้วย
ผู้ที่เสพสารเสพติดส่วนใหญ่จะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมในการเสพได้ เนื่องจากมีการหลั่งสารอย่างผิดปกติเกิดขึ้นสมองเมื่อมีการเสพยา(แม้กระทั่งการสูบบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ก็ประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกัน) เช่น สารโดพามีน (Dopamine) ซึ่งจะควบคุมสมองส่วนอยาก ทำให้ผู้เสพรู้สึกเป็นสุขอย่างท่วมท้น สนุกสนาน คึกคัก โดยหลั่งออกมาอย่างผิดปกติเกินกว่าภาวะปกติของคนทั่วไป ซึ่งภาวะเช่นนี้จะเป็นการกระตุ้นสมองและร่างกายของผู้เสพให้ใช้พลังมากเกินไปโดยเมื่อหมดฤทธิ์ยาจะพบว่าผู้เสพจะมีความเหนื่อยล้า ซึมเศร้า หมดแรง โดยหากต้องการจะพบกับภาวะความสุข สนุกสนาน มีเรียวแรงแบบนั้นอีกผู้เสพก็ต้องเสพสารเสพติดเข้าไปกระตุ้นอีก และเมื่อเสพอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆปริมาณการเสพที่เคยเสพจะเริ่มไม่เพียงพอ จึงต้องมีการใช้สารเสพติดในปริมาณที่มากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะรู้สึกว่าเพียงพอกับความต้องการ และในขณะเดียวกันสารเสพติดก็ยังได้ส่งผลต่อสมองอีกส่วนหนึ่งคือส่วน Cerebral cortex ซึ่งทำหน้าที่ในการจำ การตัดสินใจ การใช้ความคิดเป็นเหตุเป็นผล โดยสมองส่วนนี้ก็จะค่อยๆถูกทำลายลง และถูกควบคุมโดยสมองส่วนอยาก ทำให้ความสามารถในการคิด ความจำ เริ่มแย่ลง ความมีเหตุผล สามัญสำนึก การแยกแยะถูกผิด ก็จะไม่สามารถทำได้ดังเช่นคนปกติ จึงสามารถสังเกตได้ว่าผู้ที่เสพสารเสพติด มักมีความคิด พฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก เช่น เกรี้ยวกราด, ก้าวร้าว, หงุดหงิดง่าย โดยผู้เสพก็ยังคงเสพอย่างต่อเนื่องเพราะไม่สามารถควบคุมตนเองให้หยุดใช้สารเสพติดได้ และเมื่อเสพอย่างต่อเนื่องและมากพอก็จะทำให้เกิดอาการทางจิต, นอนไม่หลับ หูแว่ว, เห็นภาพหลอน และเป็นคนไข้จิตเภทในที่สุด
ในการเลิกสารเสพติด ผู้เข้ารับการบำบัดจำเป็นต้องจัดการกับตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดความอยากความต้องการยาเสพติดให้ได้ เพื่อจะทำให้เลิกสารเสพติดต่างๆได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยสมองนั้นมีโอกาสที่จะฟื้นฟูได้หลังจากการเลิกเสพสารเสพติด
หากสมองของผู้เสพยังไม่ถูกทำลายอย่างถาวร การพยายามเลิกยาเสพติดจะทำให้มีอาการขาดยา และอยากยา หรืออาการลงแดงนั่นเอง เช่น หงุดหงิด ปวดท้อง ปวดหัว นอนไม่หลับ ควบคุมตนเองไม่ได้ จึงทำร่างกายของผู้เสพทนไม่ไหวและต้องหวนกลับไปใช้ยาเสพติดอีก สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่เสพติดสารเสพติดทุกประเภทรวมถึงบุหรี่ เหล้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลัง ยาบ้า ยาไอซ์ ฯลฯ จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตน และทำไมการเลิกสารเสพติดจึงมีความยากอย่างมาก อีกทั้งคนรอบข้างและบุคคลในครอบครัวของผู้ที่เสพก็ควรทราบและทำความเข้าใจ เพื่อที่จะเข้าใจถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เสพ และร่วมกันหาทางแก้ไขให้ได้อย่างถูกต้อง
“ชาบัวหิมะ” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทางมูลนิธิฯนำมาใช้ในการบำบัด เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยงานต่างๆเป็นส่วนให้ความรู้แก่ประชาชน และผู้ที่ติดบุหรี่, สุรา, ยาเสพติดมากมาย แต่กลับมีหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ติดแล้วอยากเลิกเป็นจำนวนน้อย ไม่เพียงพอและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ มูลนิธิฯจึงต้องการช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายคือช่วยให้เขาเหล่านั้นสามารถเลิกจากสิ่งเสพติดได้อย่างแท้จริง และไม่หวนกลับไปอีก โดยชาบัวหิมะได้ผ่านการวิเคราะห์ ทดลอง และวิจัยแล้วจากผู้ติดจริง ว่าสามารถช่วยให้เลิกได้อย่างเห็นผลแท้จริง โดยจากการค้นคว้าวิจัยของมูลนิธิฯ พบว่า 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ติด สามารถเลิกได้อย่างเห็นผล ดังนั้นมูลนิธิฯจึงมีความเห็นว่าชาบัวหิมะเป็นวิธีที่ดีและได้ผลที่สุดในการบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติด ซึ่งเมื่อตัวบำบัดนั้นสามารถใช้ได้ผลดี มูลนิธิรณรงค์ช่วยให้เลิกบุหรี่และสารเสพติด จึงได้นำตัวบำบัดนั้นมาใช้บำบัดผู้ที่ติดบุหรี่ สุรา และยาเสพติดมาโดยตลอด
“ชาบัวหิมะ” มีลักษณะเป็นชาธรรมชาติ ใช้ชงกับน้ำร้อนเพื่อดื่ม โดยจะทำการขับล้างสารพิษ ถอนสารเสพติดในร่างกายของผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสพยาเสพติดออกมาเพื่อทำให้ร่างกายของผู้เสพกลับคืนสู่สภาวะปกติ คือเหมือนกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเสพยาเสพติด ทำให้สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีความอยากความต้องการสารเสพติดเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา อีกทั้งยังทำให้สารเสพติดทั้งหลายไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่ายอีกด้วย โดยร่างกายจะมีอาการต่อต้านสารเสพติดทำให้ไม่สามารถเสพได้เหมือนเดิมดังที่เคยเสพมา ซึ่งถือเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุคืออาการติดสารเสพติด โดยจะมีการบำบัดควบคู่ไปกับการให้คำแนะนำปรึกษา รวมถึงมีการแก้ไขทางความคิด ความเข้าใจที่ผิดๆเกี่ยวกับบุหรี่, สุรา หรือยาเสพติด ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจถึงสภาพจิตใจของผู้เสพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลในครอบครัวของผู้ที่เสพสารเสพติดต่างๆด้วย
สาเหตุที่แท้จริงของปัญหายาเสพติดนั้น ส่วนใหญ่เกิดหรือเริ่มต้นจากที่บ้าน เช่น ปัญหาทางครอบครัว, พ่อแม่ลูกไม่ค่อยได้พูดคุยกัน, สามีภรรยาไม่เข้าใจกัน เป็นต้น ซึ่งหากครอบครัวได้ดูแลทำความเข้าใจกัน ให้ความรักความเอาใจใส่กันในครอบครัวได้เป็นผลสำเร็จนั้น จะเป็นผลที่ดีต่อทั้งผู้สูบ/เสพและคนในครอบครัวของผู้เสพ โดยการดำเนินชีวิตของผู้เสพหลังการบำบัดนั้นเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ดังนั้นการปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันในครอบครัวหรือบุคคลรอบข้างจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง